ศ.นพ.นิธิ มหานนท์
โรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดและโรคหลอดเลือดหัวใจตีบนั้นเป็นโรคเดียวกันซึ่งก็ คือ ภาวะที่กล้ามเนื้อของหัวใจมีเลือดไปเลี้ยงไม่เพียงพอต่อความต้องการจากการที่หลอดเลือดซึ่งนำเลือดไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจนั้นตีบแคบลง สาเหตุที่แท้จริงของการเกิดหลอดเลือดตีบนี้ยังไม่รู้แน่ชัด แต่รอยตีบแคบที่เกิดนั้นจะเกิดจากการพอกทับถมของคราบหินปูนและไขมันภายในหลอดเลือด คล้ายๆ กับท่อน้ำที่มีคราบสนิมเกาะอยู่ภายใน ถ้าสนิมพอกหนาขึ้นจนทำให้ท่อตีบลงก็จะทำให้น้ำไหลผ่านท่อนั้นได้ไม่สะดวก
ถึงแม้เราจะไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริงของการที่หลอดเลือดตีบ (นอกจากโทษสังขาร) แต่ก็พอทราบว่ามีปัจจัยบางประเภทที่ทำให้ผู้ที่มีปัจจัยเหล่านั้นมีโอกาสเสี่ยงที่หลอดเลือดจะตีบแคบลงได้มากกว่าคนอื่นๆ
ปัจจัยเสี่ยงที่ว่านี้ คือ
- ภาวะความดันโลหิตสูง
- โรคเบาหวาน
- ภาวะไขมัน หรือคอเลสเตอรอลในเลือดสูง
- บุหรี่
- โรคอ้วน
- ภาวะขาดการออกกำลัง
- ผู้ที่มีประวัติในครอบครัวเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ
- เพศชาย (หรือเพศหญิง หลังวัยหมดประจำเดือน)
- อายุ
จะเห็นได้ว่า ปัจจัยเสี่ยงสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ
– ปัจจัยเสี่ยง 6 ข้อแรก เป็นประเภทที่เราสามารถควบคุมหรือแก้ไขได้
– ส่วน 3 ปัจจัยหลัง คือ เรื่องของอายุ เพศ และประวัติครอบครัว (นอกเสียจากเกิดใหม่!!!)
เราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงแก้ไขได้ การผ่าตัดเปลี่ยนเพศก็ไม่ช่วยเกิดมาอย่างไรก็ต้องรับกรรม
กันไปตามนั้น
คนที่ได้รับการวินิจฉัยว่า เป็นโรคนี้แล้วอาจได้รับการรักษาอย่างใดอย่างหนึ่ง คือ
- รักษาโดยยา
- รักษาโดยการผ่าตัดทำทางเบี่ยงของหลอดเลือด (ผ่าตัด Bypass)
- การขยายหลอดเลือด หรือทำบอลลูนร่วมกับใส่ขดลวดหรือ Stent
การรักษาไม่ว่าจะเป็นวิธีใดใน 3 วิธี ที่แพทย์จะเลือกให้เหมาะสมกับแต่ละคนนั้นจะไม่ได้ผลดีเลย ถ้าผู้ที่เป็นโรคไม่ได้ควบคุมหรือหลีกเลี่ยงจากปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ที่กล่าวข้างต้นด้วย การรักษาที่แพทย์จะให้นั้นจะทำให้ผู้ป่วยดีขึ้นส่วนหนึ่ง แต่อีกส่วนหนึ่งนั้นผู้ป่วยต้องช่วยด้วยการควบคุมปัจจัยเสี่ยงต่างๆ โดยเฉพาะการออกกำลัง ควบคุมน้ำหนัก และควบคุมระดับไขมันในเลือดให้ต่ำที่สุดเท่าที่จะสามารถทำได้ และการระวังเรื่องอาหารที่รับประทานประจำพร้อมทั้งหลีกเลี่ยงบุหรี่
ถึงแม้ในปัจจุบันนี้ เทคนิคการขยายหลอดเลือดใส่ขดลวดจะก้าวหน้าไปมากโดยนำยาบางประเภทไปเคลือบไว้บนขดลวด (stent) และยาที่เคลือบไว้ก็สามารถป้องกันการตีบแคบซ้ำกลับมาใหม่ของหลอดเลือดบริเวณที่ได้รับการขยาย (ส่วนอื่นๆ ไม่เกี่ยว) ได้เกือบ 100% แต่ในผู้ป่วยที่ยังสูบบุหรี่หรือในรายที่เป็นเบาหวานแต่ควบคุมได้ไม่ดี โอกาสตีบซ้ำของหลอดเลือดบริเวณที่ได้รับการใส่ขดลวดยังมีอยู่ประมาณร้อยละ 1 – 2
ผมมีเพื่อนสนิทร่วมชั้นเรียนคนหนึ่งซึ่งสูบบุหรี่จัดมาตั้งแต่สมัยเป็นนักเรียนแพทย์ แต่ผมเป็นคนที่เกลียดกลิ่นบุหรี่และแพ้ควันบุหรี่อย่างมากก็พยายามทุกวิถีทางให้เพื่อนคนนี้เลิกสูบบุหรี่ให้ได้แต่ไม่สำเร็จจนกระทั่งเมื่อไม่นานมานี้
………ขณะที่กำลังนั่งตรวจผู้ป่วยอยู่ เพื่อนรักของผมเกิดมีอาการแน่นหน้าอกอย่างรุนแรง เหมือนมีก้อนอิฐโตๆ ทับอยู่บนหน้าอก เป็นมากจนขนาดต้องขออนุญาตผู้ป่วย (ที่ไม่ป่วยแต่กำลังถูกหมอที่ป่วยตรวจ) ไปนอนพักทั้งๆ ที่ยังตรวจไม่เสร็จ แต่เมื่อตื่นขึ้นมาอาการแน่นก็ยังไม่หาย จึงรีบไปตรวจคลื่นหัวใจ ซึ่งพบว่า เขามีกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลันจากการที่หลอดเลือดที่เลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจนั้นมีการอุดตันอย่างกระทันหันจากลิ่มเลือดที่เกิดขึ้นในหลอดเลือด
แต่เพื่อนผมคนนี้ยังค่อนข้างโชคดี (คือ ทำบุญมายังไม่มากพอที่จะตายไปได้อย่างสบายๆ ขณะที่นอนหลับ) รอดชีวิตมาได้ด้วยยาขยายหลอดเลือดและตามด้วยการขยายหลอดเลือดหรือทำบอลลูนต่อมา
หลังจากนั้นเขาหยุดบุหรี่ที่เคยสูบวันละเกือบ 2 ซองอย่างเด็ดขาด และจากการที่เป็นคนไม่เคยออกกำลังกายใดทั้งๆ สิ้น เดี๋ยวนี้เดินออกกำลังกายเป็นประจำทุกวันๆ ละ 30 – 40 นาที แต่ที่น่าเสียดายคือ กล้ามเนื้อหัวใจบางส่วนได้ตายไปแล้ว ขณะนี้หัวใจทำงานเพียงประมาณ 40% ของที่ควรจะเป็นเท่านั้น จึงไม่แน่ใจว่าที่เพื่อนรักของผมหยุดสูบบุหรี่เพราะไม่มีแรงสูดควันบุหรี่หรือกลัวตายกันแน่!!…..
ใครยังไม่อยากหัวใจวายตั้งแต่อายุ 40 ปีต้นๆ ก็สมควรเลิกสูบบุหรี่แล้วหาเวลาออกกำลังดีกว่าครับ …..